โรคเชื้อราที่เล็บ

โดยแพทย์ผู้เชี่ยาชาญมีประสบการณ์มากกว่า 15 ปี ในการรักษาโรคผิวหนัง โรคภูมิแพ้ผิวหนัง ที่เน้นความโดดเด่นในการ
รักษาโรคผม เล็บ ผิวหนัง โดยเฉพาะ

โรคเชื้อราที่เล็บ

หมายถึง การติดเชื้อรา ไม่ว่าจะเป็นจากราที่เป็นสายรา หรือ เชื้อราในรูปของยีสต์ (ราที่มีลักษณะเป็นเซลล์กลม) ที่บริเวณเล็บ โดยในประเทศไทยชนิดของเชื้อราที่พบบ่อยๆ คือ เชื้อกลากแท้(dermatophytes) เชื้อกลากเทียม (non-dermatophytes) และยีสต์(yeasts) โดยเฉพาะเชื้อแคนดิดา (Candida)

โรคเชื้อราที่เล็บโดยส่วนใหญ่ มักจะเกิดจากเชื้อกลากแท้ หรือ เชื้อกลากเทียม บ่อยครั้งผู้ป่วยไม่ทันได้สังเกต เนื่องจากโรคไม่มีอาการใดๆ และมีการเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างช้าๆ แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต ทั้งจากลักษณะรูปเล็บที่ผิดปกติไป อีกทั้งยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อ ทำให้เชื้อลามไปตามที่ต่างๆ โดยความผิดปกติที่เล็บนั้น มักพบที่เล็บเท้าได้บ่อยกว่าเล็บมือ

บางรายอาจมีการลามไปติดเชื้อราที่บริเวณผิวหนังร่วมด้วย เช่น เชื้อราที่เท้า บางกรณีอาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมาหลังการติดเชื้อรา เช่น เล็บขบ เล็บขบอักเสบติดเชื้อ หรือ เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อน

การรักษาโรคเชื้อราที่เล็บมักจะค่อนข้างยากและใช้เวลานาน โดยมักจะต้องใช้ยาทาหรือยากินเพื่อกำจัดเชื้อรา บางกรณีที่รุนแรงอาจจำเป็นต้องรับการรักษาด้วยยาประเภทอื่น ๆ หรือแม้แต่การผ่าตัดในบางกรณี นอกจากนี้ การรักษาควรร่วมกับมาตรการป้องกันการติดเชื้อราใหม่ๆ เพื่อป้องกันการกลับมาของโรคในอนาคต ซึ่งอาจรวมถึงการรักษาความสะอาดและการรักษาความสดใหม่ของเท้าและมือ การเปลี่ยนถุงเท้าและรองเท้าที่สะอาด การใช้กางเกงและถุงเท้าที่ชุ่มน้ำหรือเหงื่อให้แห้งในทันที และการไม่แช่เท้าหรือมือในน้ำที่ไม่สะอาดหรือน้ำในสระน้ำที่ไม่สะอาด เป็นต้น

ลักษณะที่สังเกตได้ของโรคเชื้อราที่เล็บ

ลักษณะที่สังเกตได้ของโรคเชื้อราที่เล็บนั้น อาจพบลักษณะเล็บหนาตัวขึ้น มีขุยหนาใต้เล็บ มีสีเล็บที่เปลี่ยนแปลงไป หรือเล็บแยกตัวออกมาจากฐานเล็บและเห็นเป็นโพรงหรือช่องว่างใต้เล็บ โดยจำนวนของเล็บที่มีการเปลี่ยนแปลงจะพบไม่มาก มีเล็บที่เป็นโรคประมาณ 1 – 3 เล็บ โรคที่มีลักษณะการเปลี่ยนแปลงที่คล้ายกับการติดเชื้อราที่เล็บ แต่ไม่ได้เกิดจากเชื้อราแต่อย่างใด คือโรคสะเก็ดเงินที่เล็บ ดังนั้นการตรวจทางห้องปฏิบัติการจึงเป็นสิ่งจำเป็นในการวินิจฉัยโรคเชื้อราที่เล็บ เพราะเล็บที่มีความผิดปกติอาจไม่ได้เกิดจากเชื้อราเสมอไป การยืนยันการวินิจฉัยจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากเนื่องจากการรักษาเชื้อราที่เล็บต้องใช้ระยะเวลานาน และตัวยาอาจมีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ ผู้ป่วยจะได้ไม่ต้องรับประทานยาโดยไม่มีความจำเป็น จนเกิดผลข้างเคียงจากยาตามมาได้

การวินิจฉัยโรคเชื้อราที่เล็บนั้น

การวินิจฉัยโรคเชื้อราที่เล็บมักจะผ่านขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการรักษาที่เลือกนั้นเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ เช่น

1. การประเมินอาการ

แพทย์จะตรวจสอบลักษณะของเล็บที่มีอาการผิดปกติ เช่น ลักษณะของเล็บที่หนาขึ้น หรือมีสีผิดปกติ เป็นต้น

2. การสอบถามประวัติและอาการ

การสอบถามประวัติการเป็นโรค เช่น ประวัติการติดเชื้อราในอดีต หรือประวัติการใช้ยาที่อาจมีผลต่อการติดเชื้อรา

3. การตรวจทางห้องปฏิบัติการ

การขยายเชื้อราจากขุยเล็บหรือจากเล็บที่เก็บไว้ เพื่อตรวจหาเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค โดยใช้เครื่องมืออย่างกล้องจุลทรรศน์

4. การประเมินระยะเวลา

การระบุระยะเวลาของการติดเชื้อ และการเปลี่ยนแปลงของอาการ เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและการตอบสนองต่อการรักษา

5. การจำแนกเชื้อรา

การพิสูจน์เชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรค และการจำแนกเชื้อราว่าเป็นชนิดใด เช่น เชื้อกลากแท้ หรือเชื้อกลากเทียม

การรักษาโรคเชื้อราที่เล็บมักจะเน้นการใช้ยาท้องถิ่นหรือยาทาภายนอกเพื่อกำจัดเชื้อรา โดยอาจจะเป็นยาที่ใช้ทาหรือเคลือบบนผิวเล็บ ในบางกรณีที่รุนแรงมาก หรือเชื้อราดื้อยา อาจจำเป็นต้องใช้ยาทางผิวหนัง หรือยาทางเส้นเลือด นอกจากนี้ การรักษายังสามารถรวมถึงการดูแลสุขภาพของเล็บและหนังรอบเล็บ เพื่อป้องกันการติดเชื้อราซ้ำเติมในอนาคต

การรักษาโรคเชื้อราที่เล็บมีหลายวิธี

ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการปฏิบัติตัวก็เป็นสิ่งสำคัญ

ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคและการปฏิบัติตัวก็เป็นสิ่งสำคัญเพราะโรคเชื้อราที่เล็บเป็นโรคติดต่อที่เกิดขึ้นจากเชื้อราแต่การติดต่อก็ไม่สามารถติดกันง่าย เชื้อราที่พบเกิดโรคนั้นส่วนหนึ่งติดต่อด้วยกันจากมนุษย์ สัตว์เลี้ยง และเชื้อราหลาย ๆ ชนิดก็อยู่ในสิ่งแวดล้อม หรือดิน ต้นไม้ และการรักษาต้องใช้ระยะเวลานาน และยังมีโอกาสเกิดโรคซ้ำได้

การรักษาโรคเชื้อราที่เล็บมีหลายวิธีและมีความสำคัญในการเข้าใจโรคและการปฏิบัติตัวอย่างถูกวิธี ได้แก่

1. การใช้ยาทาหรือยาเคลือบ

การใช้ยาทาหรือยาเคลือบบนผิวเล็บเพื่อกำจัดเชื้อรา โดยยาเหล่านี้สามารถหยุดการเจริญของเชื้อราและช่วยให้เล็บเจริญอย่างปกติ

2. การรับประทานยา

ในบางกรณีที่รุนแรงมาก หรือเชื้อราดื้อยา อาจจำเป็นต้องรับประทานยาที่ทำให้เชื้อราตายซึ่งสามารถสังเกตได้จากการหยุดการเจริญของเล็บในระยะเวลาที่ยาวนาน

3. การรักษาด้วยเทคนิคเฉพาะ

ในบางกรณีที่เล็บมีปัญหารุนแรงมาก อาจจำเป็นต้องใช้เทคนิคเฉพาะ เช่น เลเซอร์หรือการผ่าตัดเล็บเพื่อเอาเล็บที่มีปัญหาออก

4. การดูแลสุขภาพเท้า

การรักษาเชื้อราที่เล็บยังควรรวมการดูแลสุขภาพเท้า เช่น การสวมรองเท้าที่ถูกต้อง การรักษาความสะอาดและความแห้งของเท้า การตัดเล็บอย่างถูกวิธี เป็นต้น

5. การรักษาโรคร่วม

ในบางกรณีอาจมีโรคร่วมที่เกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งอาจมีผลต่อการรักษาเชื้อราที่เล็บ การรักษาโรคร่วมนี้เป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมโรคให้ดีขึ้น

6. การป้องกันการติดเชื้อราซ้ำ

หลังจากการรักษาแล้ว ควรดูแลสุขภาพเท้าอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันการติดเชื้อราซ้ำในอนาคต โดยการรักษาความสะอาดของเท้าและการใช้รองเท้าที่เหมาะสมจะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อราอย่างมีประสิทธิภาพ

การดูแลสุขภาพเท้า การตัดเล็บเท้าอย่างถูกวิธี ก็มีความสำคัญ ไม่ควรเดินเท้าเปล่าโดยเฉพาะในที่สาธารณะ ไม่ควรใช้ของร่วมกัน ไม่ควรใช้วิธีตัดเซาะหรือเลาะเล็มส่วนด้านข้างของเล็บ หรือให้ช่างทาเล็บตัดเล็บอย่างไม่ถูกวิธี เพราะอาจทำให้เกิดเล็บขบ ติดเชื้อแทรกซ้อนเพิ่มมาอีก ควรเลือกชนิดรองเท้าที่เหมาะสม ไม่ควรรัดแน่น อับชื้น และต้องดูแลสุขภาพเท้าอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานหรือในผู้สูงอายุที่มีปัญหาเรื่องการมองเห็น การเคลื่อนไหว การมีความผิดปกติของโครงสร้างเท้าร่วมด้วย

การรักษาโรคเชื้อราที่เล็บมีความซับซ้อนและต้องใช้เวลานาน โดยผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพมากที่สุดและลดโอกาสในการกลับมาของโรคในอนาคต